ปาฐกถาพิเศษในหัวข้อเรื่อง
“การวางรากฐานพลังงานไทยเพื่ออนาคต”
โดย ดร. ปิยสวัสดิ์
อัมระนันทน์ ประธานกรรมการมูลนิธิพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม
บทคัดย่อคำกล่าวปาฐกถาพิเศษซึ่งได้กล่าวไว้ในการสัมมนาประจำปี 2554 ของมูลนิธิพลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อมว่า การกำหนดนโยบายพลังงานที่ถูกต้องควรมองในระยะยาว
โดยต้องคำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม สิ่งที่ควรทำ คือ วางกรอบนโยบายพลังงานให้ครอบคลุมทุกด้านทั้งในระยะสั้นและระยาว
แล้วจึงหาวิธีการจัดสรรให้เหมาะสม เป็นธรรม และโปร่งใสมากที่สุด โดยแบ่งเป็น 7 ประเด็นหลัก ดังต่อไปนี้
1. ภาคเอกชน
ปัจจุบันภาคเอกชนมีศักยภาพมากขึ้นในกิจการด้านพลังงาน เช่น การขุดเจาะน้ำมัน
การพัฒนาสร้างโรงไฟฟ้า การประหยัดและการอนุรักษ์พลังงาน ซึ่งภาครัฐควรจะค่อย ๆ ลดบทบาทลง
โดยทำหน้าที่กำหนดนโยบาย วางแผนด้านพลังงาน และกำกับดูแลให้ผู้ประกอบการทุกรายได้รับความเป็นธรรม
ซึ่งเป็นที่มาของพระราชบัญญัติการประกอบกิจการพลังงาน พ.ศ. 2550 กฎหมายนี้มีประโยชน์หลายด้าน เพื่อให้เกิดการแข่งขันในกิจการพลังงานและสร้างความเป็นธรรม
แต่เสียดายที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์เท่าที่ควร ประเทศไทยอยู่ในระบบผูกขาดมานานมาก ปัจจุบันมีกฎหมายที่ทำให้เกิดการแข่งขันด้านพลังงานแล้ว
และภาคเอกชนก็มีความพร้อมที่จะแข่งขัน ดังนั้น จึงควรกลับมาทบทวนกันใหม่ว่า การแข่งขันและบทบาทของภาคเอกชนด้านพลังงานจะทำอย่างไรต่อไป
2. ความโปร่งใสชัดเจนและความแน่นอนของนโยบายภาครัฐ
การไม่ชัดเจนของการกำหนดนโยบายของรัฐจะส่งผลกระทบอย่างมากต่อการลงทุนของผู้ประกอบการเอกชน
(SPP, VSPP) โดยเฉพาะผู้ประกอบการที่ปฏิบัติถูกต้องตามกฎ ระเบียบของรัฐ
เช่น การเปลี่ยนนโยบายส่วนเพิ่มราคารับซื้อไฟฟ้า
(adder) การยกเลิกหรือลดอัตราเงินเข้ากองทุนน้ำมันฯสำหรับน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์
เป็นต้น สิ่งที่น่าเป็นห่วงในระยะยาว ก็คือ ภาคเอกชนจะไม่เชื่อมั่น เกิดความไม่มั่นใจ และจะไม่ให้ความร่วมมือกับนโยบายภาครัฐ ซึ่งที่ผ่านมาประเทศไทยเป็นประเทศที่การผลิตเชื้อเพลิงแก๊สชีวภาพมากที่สุดประเทศหนึ่งของโลก
แต่ความไม่ชัดเจนของการกำหนดนโยบายจะทำลายความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการในระยะยาว เพราะฉะนั้น
หากจะยังคงให้ภาคเอกชนมีบทบาทด้านพลังงานมากขึ้น ความชัดเจนของนโยบายภาครัฐเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง
รวมถึงเรื่องความโปร่งใส
3. นโยบายราคาพลังงาน
คือ
หัวใจของการที่จะทำให้เกิดการใช้พลังงานอย่างประหยัดและมีประสิทธิภาพ
การบิดเบือนราคา ทำให้คนเลือกใช้เชื้อเพลิงผิดประเภท
ในอดีตประเทศไทยทำได้ค่อนข้างดี การยกเลิกการควบคุมราคาน้ำมัน
โดยให้ราคาสะท้อนต้นทุนที่แท้จริง ทำให้เกิดการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
การบิดเบือนราคาน้ำมัน การอุดหนุนหรือตรึงราคาน้ำมันด้วยเหตุผลทางการเมือง
จะทำให้เกิดการใช้น้ำมันอย่างไม่มีประสิทธิภาพ รวมถึงภาระหนี้สินของกองทุนน้ำมัน
จากข้อมูลรายงานประจำปีของ International Energy Agency (IEA) ปี 2553 ระบุว่า หากจะแก้ปัญหาภาวะโลกร้อน มาตรการที่จำเป็น
คือ ต้องยกเลิกการชดเชยราคาพลังงาน ซึ่งที่ผ่านมาการชดเชยราคาน้ำมันที่บอกว่าเพียงชั่วคราวกลายเป็นไม่ชั่วคราว
เพราะการยกเลิกการอุดหนุนเป็นไปค่อนข้างยาก เรื่องนี้เป็นปัญหาใหญ่ที่ขอฝากไว้ที่ผู้กำหนดนโยบาย
เพราะภาระการอุดหนุนราคาน้ำมันก็จะกลับมายังประชาชนในที่สุด ในปัจจุบันมีเครื่องมือ/กลไกในการบริหารราคาน้ำมันแทนการตรึงราคาหรือกำหนดเพดานราคาขายปลีกราคาน้ำมันที่สามารถดำเนินการได้
แต่ยังไม่ได้มีการเริ่มทำ เช่น การทำบริหารความเสี่ยงราคาน้ำมัน(Hedging) ซึ่งหากต้องการให้ราคาน้ำมันดีเซลไม่เกินกว่าที่กำหนดไว้ ก็ทำประกันความเสี่ยงไว้ที่ระดับนั้น
ซึ่งจะทำให้สามารถกำหนดเพดานราคาน้ำมันได้ช่วยแบ่งเบาภาระของรัฐบาล โดยใช้วิธี
Hedging ร่วมกับกองทุนน้ำมันฯ
4. การกระจายแหล่งพลังงานและการจัดหาแหล่งพลังงานในระยะยาว
ตามแผนพัฒนากำลังการผลิตไฟฟ้าของประเทศไทย (PDP)เดิม จะมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ หลายๆ ประเทศหวังว่า
โรงไฟฟ้านิวเคลียร์จะช่วยลดปัญหาสภาวะโลกร้อน หากไม่มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์
ยังคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรกับการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลง 50%ในปี 2050 แต่ปัจจุบันการผลักดันโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อาจเป็นไปได้ยากทั่วโลกรวมถึงประเทศไทย
เนื่องจากปัญหาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของญี่ปุ่นรั่วไหลจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิ
จึงต้องหันไปจัดหาพลังงานอื่น เช่น ก๊าซ LNG หรือพลังงานหมุนเวียน
ซึ่งต้นทุนยังคงสูงกว่าราคาเชื้อเพลิงฟอสซิล จึงจำเป็นต้องได้รับการอุดหนุนจากภาครัฐ
5. การประหยัดพลังงาน
เป็นเรื่องสำคัญที่ช่วยลดการจัดหาพลังงานเพิ่มเติม
แต่ภาครัฐยังให้ความสนใจไม่มากเท่าที่ควร
การจูงใจให้ผู้ใช้พลังงานจำนวนหลายล้านคนทำตามสิ่งที่รัฐแนะนำเป็นเรื่องยากเมื่อเทียบกับการก่อสร้างโรงไฟฟ้า
1,000 – 2,000 เมกกะวัตต์ ดังนั้น จึงต้องมีมาตรการสนับสนุนต่าง
ๆ เช่น โครงการเงินทุนหมุนเวียนดอกเบี้ยต่ำ โครงการ ESCO FUND เป็นต้น ซึ่งที่ผ่านมาดำเนินการได้ค่อนข้างดี สร้างความเชื่อมั่น
แต่ยังมีอีกหลาย ๆ เรื่อง ที่ผู้ใช้พลังงานยังไม่ทราบข้อมูล
โดยที่ความเป็นไปได้ที่จะสามารถลดการใช้พลังงานประเภทต่าง ๆ ลงได้อีก
6. การพัฒนาพลังงานในพื้นที่ห่างไกลที่ยังไม่มีไฟฟ้าใช้
ซึ่งเป็นหนึ่งในภารกิจที่ มพส. ดำเนินการอยู่ โดยที่ผ่านมาภาครัฐและเอกชนมักมุ่งเน้นโครงการขนาดใหญ่ที่มีประชากรอยู่หนาแน่นและอยู่ใกล้สายส่ง
แต่ในท้องถิ่นห่างไกลที่ไม่มีไฟฟ้าใช้ ยังมีหลายพื้นที่มีแหล่งพลังงานสามารถนำมาใช้ได้
นี่คือ จุดสำคัญที่สามารถทำอะไรได้อีกมาก การพัฒนาโครงการขนาดเล็ก 3 -20 กิโลวัตต์ ทำให้ประชาชนในท้องถิ่นได้รับผลประโยชน์ ลดการตัดไม้ทำลายป่า และลดการใช้น้ำมัน
และหากยังดำเนินการต่อเนื่อง หากคิดในแง่กำลังการผลิตไฟฟ้าที่ได้อาจจะไม่มาก แต่หาก
มพส. ดำเนินการต่อเนื่องไป 5 ปีข้างหน้า โดยพัฒนาโครงการโรงไฟฟ้าพลังน้ำขนาดจิ๋ว 10 กิโลวัตต์
รวม 100 โครงการ รวมได้ 1 เมกะวัตต์
ซึ่งก็ถือว่า มีความสำคัญที่ไม่สามารถละเลยได้ เพราะเป็นประโยชน์ต่อพื้นที่ห่างไกลที่ไม่มีไฟฟ้าใช้หรือต้องใช้พลังงานอื่นในการผลิตไฟฟ้าในราคาสูงมาก
7. ภาวะโลกร้อน
เป็นเรื่องที่ประชาชนส่วนใหญ่รู้สึกว่าไกลตัว ไม่เหมือนการปล่อยก๊าซซัลเฟอร์ไดออกไซด์ของโรงไฟฟ้า
แต่อย่างไรก็ตาม มาตรการหลายอย่างที่ประเทศต่างๆ กำหนดขึ้นมา มีผลกระทบต่อประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ดังนั้น การกำหนดนโยบายของไทย หนีไม่พ้นที่จะต้องคำนึงถึงภาวะโลกร้อน
เป็นที่ทราบกันดี นโยบายแรกที่มีผลออกมาแล้ว ซึ่งมีผลกระทบต่อธุรกิจของประเทศไทย
คือ EU Emission Trading System ซึ่งกำหนดให้เครื่องบินที่บินเข้า
– ออกสหภาพยุโรปต้องปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไม่เกินอัตราที่กำหนดตั้งแต่ปี
2555 เป็นต้นไป ถ้าเกินต้องไปซื้อ Certified Emission
Reductions (CERs) ซึ่งโดยหลักการแล้วเป็นเรื่องดี แต่กติกาที่ออกมามีความไม่เป็นธรรม
จึงเป็นบทเรียนของผู้กำหนดนโยบายของประเทศไทยจะต้องให้ความสำคัญและติดตามการออกนโยบายของประเทศต่างๆ
ในเรื่องการกำหนดมาตรการเรื่องภาวะโลกร้อน และมีอีกประเด็นหนึ่งที่อยากจะฝากไว้ คือ
ที่ผ่านมามีโครงการที่ผ่านการพิจารณาขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก
(องค์การมหาชน) (TGO) ไปแล้วจำนวน 60 โครงการ เทียบเท่าการลดการปล่อยก๊าซ CO2 8.8 ล้านตัน/ปี ซึ่งเมื่อนับจากการตั้ง TGO มาแล้ว 5 ปี มีโครงการที่ผ่านการรับรองจาก EB เพียง
6 โครงการ ทำให้การบินไทยต้องไปซื้อ CERs จากประเทศจีนและอินเดีย
บทเรียน คือ จะมีนโยบายต่างๆ ในเรื่องนี้ออกมาอีก ซึ่งจะกระทบธุรกิจอื่นๆ ต่อไป ตัวอย่างที่เห็นได้อย่างชัดเจน
คือ นโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ถ้าปล่อยให้นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมกำหนดเอง ก็จะมีนโยบายแปลกๆ
ออกมา และเป็นสิ่งที่ควรให้ความสำคัญ เพราะหากมีการกำหนดนโยบายออกมาแล้ว การจะแก้ไขทำได้ยากมาก
28 กันยายน 2554